ผลบอลออนไลน์ 24 ชม. อัพเดตตลอด สกู๊ปบอล

ผีทำได้..! ลิเวอร์พูลบุกผีในศึก"แดงเดือด"แบ่งแต้มกัน

ผีทำได้..! ลิเวอร์พูลบุกผีในศึก"แดงเดือด"แบ่งแต้มกัน
arrow_drop_down

ด้วยการเปิดบ้านเสมอ "หงส์แดง" 1-1 ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคมผ่านมา

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โชว์ฟอร์มโดดเด่นในเกม "แดงเดือด" โดยสามารถหยุดยั้งความร้อนแรงของ ลิเวอร์พูล ที่เก็บชัยชนะ 8 นัดรวดในฤดูกาลนี้

    ขณะเดียวกันในช่วงท้ายครึ่งแรก ลิเวอร์พูล เกือบได้ประตูตีเสมอ แต่วีเออาร์สวมบทพระเอกเมื่อแสดงภาพชัดเจนว่าบอลไปโดนมือ ซาดิโอ มาเน่ ก่อนที่เขาจะตะบันบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย อย่างไรก็ตามพระเอกตัวจริงของ "หงส์แดง" ก็คือ อดัม ลัลลาน่า ที่ซัดประตูช่วง 5 นาทีสุดท้าย ทำให้ทีมบุกมาแบ่งแต้มได้สำเร็จ
 



    แน่นอนว่าผลเสมอในเกมนี้เป็นการหยุดโอกาสที่ "เดอะ เร้ดส์" จะทำสถิติชนะรวด 18 เกมในพรีเมียร์ลีก เทียบเท่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ 1 คะแนนก็ยังถือว่าดีเนื่องจากฟอร์มของ ลิเวอร์พูล ในเกมนี้ถือว่าต่ำกว่ามาตรฐาน  และยังทำให้พวกเขานำห่าง "เรือใบสีฟ้า" 6 คะแนน

1. แรชฟอร์ดระเบิดฟอร์ม
    มาร์คัส แรชฟอร์ด โดนวิจารณ์อย่างหนักในฤดูกาลนี้ แต่เขายังคงเป็นผู้เล่นสำคัญของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสมอ โดยเฉพาะในเกมนี้บรรดาสาวก "เร้ด อาร์มี่" คงได้เห็นแล้วว่านี่คือหัวหอกตัวความหวังที่จะฉุดทีมขึ้นมาจากโซนท้ายตารางได้

    ดาวเตะเลือดผู้ดี เบิกประตูขึ้นนำให้กับทีมรักโดยแสดงให้เห็นถึงความสุดยอดในการวิ่งหาตำแหน่ง ก่อนจะจัดการจบสกอร์แบบสบายๆ หลังจากได้รับลูกเปิดถวายพานจากเจ้าหนูสายฟ้า แดเนี่ยล เจมส์ โดยนี่เป็นประตูที่สามที่เขายิงได้ในการสู้กับ "หงส์แดง" และเป็นประตูที่ 11 ในพรีเมียร์ลีก ในการพบกับทีมระดับบิ๊กซิกซ์
 



    แน่นอนว่าการได้ชื่อว่าเป็น "กองหน้า" หากอัตคัดประตูย่อมต้องโดนวิจารณ์เป็นธรรมดา ซึ่ง แรชฟอร์ด ก็เป็นหนึ่งในนักเตะที่เจอกับสถานการณ์นี้ จนกระทั่งมีบางคนตั้งคำถามว่า "แรชซี่" มีดีพอที่จะยืนเป็นหัวหอกให้กับยอดทีมแห่งถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด หรือไม่

    อย่างไรก็ตามจากผลงานของ แรชฟอร์ด ในเกม "แดงเดือด" หรือในแมตช์ใหญ่ๆ เขายังคงพึ่งพาได้เสมอ ที่สำคัญในแมตช์นี้ นักเตะยังคงทำหน้าที่เป็นหน้าเป้าภายใต้การกุมบังเหียนของกุนซือโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่า "หนูแรช" น่าจะเริ่มปรับตัวกับตำแหน่งนี้ได้เรื่อยๆ

 

2. ดราม่า วีเออาร์
    ในช่วงต้นฤดูกาลนี้ วีเออาร์ ได้รับการยกย่องอย่างมากเพราะช่วยให้เกมมีความยุติธรรมมากยิ่งขึ้น เพราะมีหลายเกมสามารถเปลี่ยนผลการแข่งขันได้ทันที อย่างไรก็ตามในเกม "แดงเดือด" มีประเด็นให้ต้องพูดถึงเกี่ยวกับระบบเทคโนโลยีชิ้นนี้

 



    สำหรับประเด็นสำคัญเกิดขึ้นจากจังหวะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ประตูนำ หลังจากที่ ดิว็อค โอริกี้ โดนเตะข้างหลังจาก วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ โดยหลังจากนั้นเจ้าบ้านก็ได้ครองบอล ก่อนที่ เจมส์ จะกระชากไปเกือบถึงเส้นหลัง และเปิดให้ แรชฟอร์ด แปบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย

    จากภาพ "วีเออาร์" เห็นได้ชัดว่า โอริกี้ โดน ลินเดอเลิฟ เตะจริงๆ แต่เมื่อมองอีกมุมจังหวะนั้น ดาวเตะชาวเบลเยียม จับบอลยาวไปแล้ว ก่อนจะโดน สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ แย่งบอลไป ซึ่งแน่นอนว่าจังหวะแบบนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของ มาร์ติน แอตกินสัน และสุดท้ายก็ยกประโยชน์ให้ฝั่งเจ้าบ้าน     

     ขณะที่อีกจังหวะที่ต้องใช้วีเออาร์เกิดขึ้นในช่วงท้ายครึ่งแรก เมื่อ ซาดิโอ มาเน่ ได้โอกาสยิงประตูให้ทีมตีเสมอ แต่หลังจากที่มีการเช็ควีเออาร์แล้ว ภาพแสดงชัดเจนว่าลูกบอลโดนมือสตาร์เซเนกัล ก่อนที่เขาจะยิงประตู ฉะนั้นในกรณีนี้ถือว่าชัดเจนไม่มีข้อแก้ตัว


3. ใครๆ ก็อยากอัด เจมส์
    แดเนี่ยล เจมส์ ดูเหมือนจะตกเป็นเป็นไล่อัดของนักเตะลิเวอร์พูล โดยเฉพาะในช่วงต้นครึ่งหลัง     ปีกดาวรุ่งทีมชาติเวลส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในดาวเตะที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นกับ "ผีแดง" ในฤดูกาลนี้ โชว์ฟอร์มป่วนเกมรับของลิเวอร์พูลได้ตลอดในครึ่งแรก โดยเฉพาะความเร็วของเขามีประโยชน์อย่างมาก ซึ่งดูได้จากจังหวะที่กระชากบอลก่อนจะแอสซิสต์ให้ แรชฟอร์ด

 



    จะว่าไปแล้ว เจมส์ เป็นนักเตะที่ค่อนข้างทรหดจริงๆ เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนเกม "เร้ด วอร์" นักเตะเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างหนักจากการเล่นให้ทีมชาติเวลส์ อย่างไรก็ตามสำหรับเกมนี้แฟนบอล "ผีแดง" คงปลื้มอกปลื้มใจกับผลงานของ เจมส์ โดยเฉพาะครึ่งแรก แต่สำหรับครึ่งหลังเจ้าตัวโดนอัดจนเล่นไม่ค่อยออก


4. ไม่มี ซาลาห์ แต่มีลัลลาน่า  
    ตอนนี้สาวก "เดอะ ค็อป" ยอมรับแล้วว่าการที่ทีมขาย โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เหมือนทีมขาดฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่นเกมรุกของทีม โดยเฉพาะในการเล่นเกมบุกทางฝั่งขวาแทบจะไม่มีความอันตรายเมื่อไร้สตาร์ดังทีมชาติอียิปต์ในแมตช์นี้

 



    ยิ่งไปกว่านั้น ซาดิโอ มาเน่ คงรู้สึกซึ้งแล้วว่าหากไม่มี ซาลาห์ ชีวิตในสนามของเขาคงต้องเจอกับงานสุดหิน เพราะเจ้าตัวไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลยเนื่องจากโดนแนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด จัดการปิดโอกาสได้หมด หากไม่นับจังหวะแฮนด์บอลยิงประตู บอกเลยว่า ดาวเตะเซเนกัล ไม่มีโอกาสสร้างสรรค์เกมเลย

    อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ "เดอะ เร้ดส์" โดดเด่นในฤดูกาลนี้ก็คือขุมกำลังสำรอง โดยหลังจากที่ คล็อปป์ ตัดสินใจแก้เกมส่ง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, อดัม ลัลลาน่า และ นาบี เกอิต้า แน่นอนงานนี้ได้ผลเพราะ ลัลลาน่า จัดการสวมบทฮีโร่ช่วยทีมบุกมาแบ่งแต้มได้สำเร็จ

    คิดดูก็แล้วกันว่า ดาวเตะเลือดผู้ดีวัย 31 ปี ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการรักษาอาการบาดเจ็บ แต่ด้วยการที่ ซาลาห์ ลงไม่ได้ทำให้ อดีตดาวเตะ "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน ได้รับโอกาสสำคัญในแมตช์นี้ และเจ้าตัวก็ตอบแทนความไว้วางใจของ คล็อปป์ ด้วยการซัดประตูท้ายเกมซึ่งประตูนี้เป็นลูกแรกในเกมลีกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2017


5. ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสสร้างประวัติศาสตร์
    แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงเป็นเสี้ยนหนามที่ทิ่มแทงใจ ลิเวอร์พูล มาตลอด ในเกมนี้ "ปีศาจแดง" ก็จัดการหยุดความร้อนแรงของคู่อริตลอดกาลที่เก็บชัยชนะเป็นว่าเล่น 17 เกมก่อนหน้านี้ (รวมกับฤดูกาลที่ผ่านมา) หากนับเฉพาะในซีซั่นนี้ "หงส์แดง" ชนะรวด 8 แมตช์ติดต่อกัน (ก่อนเกมแดงเดือด)

    สำหรับแมตช์นี้หาก ลิเวอร์พูล ชนะจะทำให้พวกเขาสร้างสถิติชนะ 18 เกมติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก เทียบเท่ากับ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้  แต่สุดท้ายสถิติของพวกเขาต้องหยุดลงอยู่ที่ 17 เกมเท่านั้น งานนี้คงทำให้สาวก "ผีแดง" สะใจกันพอสมควร
 



    แมตช์นี้ยังถือเป็นโอกาสดีเยี่ยมสำหรับ ลิเวอร์พูล เพราะพวกเขาไม่เคยชนะใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มาตั้งแต่ปี 2014 เนื่องจากการสู้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่อยู่ในฟอร์มเป๋ ทำให้ "หงส์แดง" น่าจะทำได้สำเร็จ แต่สุดท้าย แมนฯ ยูฯ ก็จัดการขัดขวางพวกเขาจนได้

    อย่างไรก็ตาม ทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ ยังคงสร้างประวัติศาสตร์เมื่อสะกดคำว่า "แพ้" ไม่เป็นต่อไปเพียงแค่ถูกขั้นด้วยผลเสมอเท่านั้น และก็ยังคงนำห่าง แมนฯ ซิตี้ ต่อไป เพียงแต่ลดเหลือแค่ 6 คะแนนเท่านั้น

SHARE ON